จาก Net Spend ถึง PSR: ทำไมลิเวอร์พูลถึงกล้าทุ่มได้แบบไม่กลัวผิดกฎ?
ตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ 2025 กำลังร้อนแรง แต่หนึ่งในทีมที่สร้างความฮือฮาได้มากที่สุดหนีไม่พ้น ลิเวอร์พูล ที่เดินหน้าเสริมทัพอย่างจริงจัง โดยเบื้องต้นใช้เงินไปแล้ว อย่างน้อย 170 ล้านปอนด์ กับดีลระดับบิ๊กเนมอย่าง ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ (100 ล้านปอนด์), เยเรมี ฟริมปง (29.5 ล้านปอนด์) และ มิลอส เคอร์เคซ (40 ล้านปอนด์)
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า “หงส์แดง” กลับมาทุ่มเงินอีกครั้งราวกับเป็นทีมเจ้าบุญทุ่ม แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป จะพบว่าการใช้จ่ายครั้งนี้ไม่ได้ไร้แผน หากแต่เป็นผลลัพธ์จากการวางกลยุทธ์ทางการเงินที่รอบคอบและมีเป้าหมาย
ปัจจัยที่ 1: การเก็บสะสมทุนในช่วงก่อนหน้า
ในตลาดซัมเมอร์ปี 2024 ลิเวอร์พูลใช้เงินซื้อผู้เล่นเพียงรายเดียว คือ เฟเดริโก้ เคียซ่า ซึ่งมีค่าตัวรวมแอดออนส์เพียง 12.5 ล้านปอนด์ ขณะเดียวกัน สโมสรยังจ่ายเงินอีก 114.5 ล้านปอนด์ในซีซัน 2023-24 ซึ่งเป็นภาระผ่อนชำระจากตลาดซื้อขายก่อนหน้า
เมื่อเทียบกับทีมอื่นในพรีเมียร์ลีก ตัวเลข 114.5 ล้านปอนด์ของลิเวอร์พูลในซีซันนั้น ยังเป็นเพียงอันดับ 5 ขณะที่ เชลซี ใช้ไป 190 ล้านปอนด์ ทั้งที่มียอดขายผู้เล่นสะสมน้อยกว่า ลิเวอร์พูลถึง 145 ล้านปอนด์
ปัจจัยที่ 2: รายได้ของสโมสรเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้จะขาดทุนก่อนหักภาษีที่ 57 ล้านปอนด์ในปี 2024 แต่ รายได้รวมของลิเวอร์พูลเพิ่มขึ้นเป็น 614 ล้านปอนด์ ขยับขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 20 ล้านปอนด์ โดยเฉพาะรายได้จากเชิงพาณิชย์ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 36 ล้านปอนด์
และเมื่อทีมกลับมาเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้อีกครั้ง ทำให้มีรายได้จากถ้วยยุโรปเข้ามาไม่น้อยกว่า 83.7 ล้านปอนด์ และยังมีรายได้จากพรีเมียร์ลีกอีกราว 176 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นเม็ดเงินก้อนโตที่ส่งผลต่อแผนลงทุนเสริมทีมโดยตรง
ปัจจัยที่ 3: นโยบายขายนักเตะอย่างมีกลยุทธ์
ภายใต้การบริหารของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ และทีมบริหาร ลิเวอร์พูลมีผลงานการขายนักเตะที่ยอดเยี่ยม เช่น ดีลของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ ที่ทำรายได้ถึง 142 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นทุนในการซื้อนักเตะอย่าง อลีสซง และ ฟาน ไดค์
จากข้อมูลของ Transfermarkt ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลมี Net Spend ติดลบเพียง –213 ล้านปอนด์ ซึ่งต่ำกว่าทั้ง เชลซี (–722 ล้าน), อาร์เซนอล (–410 ล้าน), และแมนฯ ซิตี้ (–312 ล้าน)
ในตลาดรอบนี้ หากทีมปล่อยผู้เล่นบางรายอย่าง นูนเญซ, เคลเลเฮอร์, เทรนต์, และ ควอนซาห์ ก็อาจได้เงินกลับมาอีกราว 100 ล้านปอนด์ ซึ่งสามารถนำมาเสริมทัพเพิ่มเติมโดยไม่กระทบต่อโครงสร้างทางการเงิน
ปัจจัยที่ 4: อยู่ในกรอบกฎ PSR (Profit and Sustainability Rules)
ลิเวอร์พูลวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเพื่อให้สอดคล้องกับกฎ PSR ซึ่งกำหนดให้สโมสรในพรีเมียร์ลีกสามารถขาดทุนได้ไม่เกิน 105 ล้านปอนด์ในระยะเวลา 3 ปี โดยสามารถหักรายจ่ายบางส่วนออกจากการคำนวณได้ เช่น การลงทุนในอะคาเดมีและโครงสร้างพื้นฐาน
คีแรน แมคไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินฟุตบอล เผยว่า ลิเวอร์พูลแทบไม่ติดท็อป 10 ของทีมที่ใช้เงินสูงที่สุดในการซื้อผู้เล่นตั้งแต่ปี 2019 และการใช้เงินแบบมีเป้าหมายชัดเจน เช่น การต่อสัญญานักเตะสำคัญ เป็นกลยุทธ์ที่สร้างเสถียรภาพระยะยาว
ขณะเดียวกัน เดฟ พาวเวลล์ จาก Liverpool Echo คาดการณ์ว่าลิเวอร์พูลจะมีกำไรถึง 50 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2024-25 ซึ่งจะช่วยให้สถานะด้าน PSR ดีขึ้นอย่างมาก
สรุป: เจ้าบุญทุ่มที่ไม่ได้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย
แม้จะมีการลงทุนครั้งใหญ่ในตลาดรอบนี้ แต่นี่ไม่ใช่การใช้จ่ายแบบไร้การวางแผน หากแต่เป็น “การลงทุนเพื่ออนาคต” ที่มาจากสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความมั่นใจในทิศทางของทีม
ดีลของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ คือตัวอย่างที่ชัดเจน ถึงแม้จะมีค่าตัวรวมแอดออนส์ถึง 116 ล้านปอนด์ แต่หากมิดฟิลด์เยอรมันรายนี้สามารถสร้างอิมแพกต์เหมือนฟาน ไดค์ ได้ เงินก้อนนี้ก็ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสร
ลิเวอร์พูลอาจดูเหมือนเจ้าบุญทุ่มในสายตาคนภายนอก แต่เบื้องหลังคือการใช้เงินอย่างชาญฉลาดภายใต้กรอบที่รอบคอบ ซึ่งอาจกลายเป็นโมเดลให้ทีมอื่นๆ ได้ศึกษาในอนาคต